ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม ตรวจความพร้อม ก่อน..START..ตรวจเข้ม ! เรือประมงพาณิชย์ พร้อมกันทั่วประเทศ

 

ดร.ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะผู้บริหารกรมประมง ลงพื้นที่ท่าเรือวัดปากสมุทร ตาบลแหลมใหญ่ อาเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อตรวจดูความพร้อมของเจ้าหน้าที่ในการเตรียมปฏิบัติการตรวจเรือประมงพาณิชย์ ขนาด 10 – 30 ตันกรอส และร่วมสังเกตการณ์เรือประมงฯ ที่เข้าท่ามาให้ตรวจก่อน พร้อมตรวจเยี่ยมการทาประมงและชาวประมงในพื้นที่ ดร.ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กาชับให้กรมประมงปฏิบัติตาม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 อย่างเครั่งครัด เพราะเชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนดาเนินการตาม พ.ร.ก.การประมง 2558 จะก่อให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้าและเกิดความเข้มแข็งของภาคการประมงไทย การจัดระเบียบเรือประมงพาณิชย์ก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจสาคัญในการดาเนินการแก้ไขปัญหาการทาประมงผิดกฎหมายตาม พ.ร.ก.การประมง โดยการลงพื้นที่มาตรวจดูความพร้อมของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการตรวจเรือประมงพาณิชย์ในครั้งนี้ เพื่อจะได้ทราบถึงขั้นตอนกระบวนการดาเนินการต่างๆ ในการตรวจเรือประมงพาณิชย์ ตามที่กรมประมงได้มีการประกาศให้ผู้ประกอบการเรือประมงพาณิชย์ ขนาดตั้งแต่ 10 ตันกรอสขึ้นไป นาเรือและเอกสารสาคัญมาแสดงตนกับเจ้าหน้าที่ ณ ท่าเทียบเรือที่กาหนดในแต่ละจังหวัด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบความถูกต้องตาม พ.ร.ก.การประมง 2558 ซึ่งจะมีขึ้นพร้อมกันทั้วประเทศ ในระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม – 15 กันยายน 2559 ซึ่งการดาเนินการตรวจเรือประมงพาณิชย์ เป็นการตรวจเฝ้าระวังให้การทาประมงพาณิชย์เป็นไปด้วยความถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากการเริ่มทาประมงพาณิชย์ตาม พ.ร.ก.การประมง 2558 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2559

 

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมสังเกตการณ์ว่าช่วงนี้ก็มีเรือประมงขนาดตั้ง 10 – 30 ตันกรอส เข้าเที่ยบท่าให้เจ้าหน้าที่ได้มาตรวจฯ ด้วย ซึ่งก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงขอฝากถึงผู้ประกอบการเรือประมงพาณิชย์โปรดให้ความร่วมมือนาเรือและเอกสารที่ถูกต้องมาแสดงตนตามที่กรมประมงประกาศแจ้งไป เพื่อความถูกต้องตามกฎหมายและเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้าและอาชีพประมงไทย นางอุมาพร พิมลบุตร รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยในรายละเอียดเพิ่มเติมว่า สาหรับเรือประมงพาณิชย์ ที่มาแสดงตนนั้น จะต้องมีเอกสารสาคัญประกอบด้วย 1. ใบอนุญาตใช้เรือ: ที่ระบุหมายเลขทะเบียนเรือ ชื่อเรือ ชื่อสกุลเจ้าของเรือ วันหมดอายุ หมายเลขเครื่องยนต์ และยี่ห้อเครื่องยนต์ให้ชัดเจน 2. ใบอนุญาตทาการประมงพาณิชย์ต้นฉบับ ที่ได้รับจากกรมประมง ที่ระบุหมายเลขใบอนุญาต ประเภทของเครื่องมือทาการประมง ใบอนุญาตที่ติดภายในเรือประมง พร้อมบัตรอนุญาต เลขที่ QR-Code ซึ่งจะต้องตรงตามใบอนุญาตทาการประมงที่ประมงออกให้ โดย QR-Code ดังกล่าวจะต้องติดไว้กับเรือ 3. เครื่องมือประมง โดยชนิดและจานวนเครื่องมือต้องถูกต้องตามใบอนุญาต รวมทั้งขนาดของตาอวน ขนาดความยาว ของเครื่องมือต้องเป็นไปกฎหมายด้วย และสาหรับเรือประมงพาณิชย์ ขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอสขึ้นไป ต้องแสดงอุปกรณ์ติดตามเรือ (VMS) ที่มีเอกสารกากับ หมายเลข VMS ในใบอนุญาต หมายเลขเครื่องที่ใช้ในปัจจุบัน สถานะภาพการใช้งาน และแสดงLogbook/ เครื่องหมายประจาเรือ / สภาพเรือ / ระวางบรรทุกของเรือด้วย โดย ผู้ประกอบการเรือประมงพาณิชย์ ขนาด 10 - 30 ตันกรอส สามารถยื่นเอกสารขอรับการตรวจได้สานักงานประมงจังหวัด 22 จังหวัดชายทะเล และสานักงานประมงอาเภอ ส่วนเรือประมงพาณิชย์ ขนาด 30 ตันกรอสขึ้นไป สามารถยื่นเอกสารแก่เจ้าหน้าที่ศูนย์แจ้งเข้า-ออกในจังหวัดนั้นๆ ส่วนในกรณีเรือขึ้นคานหรือไม่ได้ทาการประมง ให้นัดเจ้าหน้าที่ไปตรวจแยกจากการตรวจที่ท่าเรือ ซึ่งเรือประมงพาณิชย์ที่ผ่านการตรวจรับรองโดยกรมประมงเรียบร้อยแล้ว จะได้รับสติ๊กเกอร์รับรองไว้เป็นหลักฐาน หากผู้ประกอบการไม่นาเรือมาให้ตรวจโดยไม่มีเหตุผลออันสมควรอาจเป็นสาเหตุให้ถูกยกเลิกใบอนุญาตทาการประมงได้ ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์เฉพาะกิจตรวจเรือประมงพาณิชย์ โทร. 0 2561 1418 หรือ สานักงานประมงจังหวัดชายทะเล 22 แห่ง หรือ ศูนย์แจ้งเข้า-ออกเรือประมง (PIPO) หรือ website : http ://www.fisheries.go.th/inspector นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกรมประมง ยังได้ไปพบปะเยี่ยมเยียนกับกลุ่มพี่น้องชาวประมง กลุ่มสหกรณ์การประมงบางจะเกร็ง ที่ได้ปรับเปลี่ยนอาชีพจากการทาประมงโดยใช้เครื่องมือประมงที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายที่ได้มีการประกาศไว้ใน พ.ร.ก.การประมง 2558 นั้น เป็นอาชีพใหม่ คือ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้าและแปรรูปสัตว์น้า

 

ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการช่วยเหลือเยียวยาชาวประมง โดยปลัดฯ ได้มีการพูดคุยรับฟังปัญหาพร้อมเป็นกาลังใจให้ชาวประมงหลังการปรับเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งพวกเขาเข้าใจถึงการดาเนินการของทางภาครัฐในการแก้ไขปัญหาการทาประมงผิดกฎหมาย เพื่อประเทศไทยจะได้มีความยั่งยืนของทรัพยากรประมงตลอดไป 

 

 

แหล่งที่มา http://www.ryt9.com/s/prg/2491820